ผู้เขียน

ดูทั้งหมด

บทความ โดย Cindy Hess Kasper

เวลาพอ

เมื่อฉันเห็นหนังสือสงครามและสันติภาพเล่มโตของลีโอ ตอลสตอยบนชั้นหนังสือของเพื่อน ฉันสารภาพว่า “ฉันไม่เคยอ่านมันจบเลยจริงๆ” มาร์ตี้หัวเราะเบาๆ “อืม...ตอนที่เกษียณจากงานสอน ผมได้รับเป็นของขวัญจากเพื่อนที่บอกว่า ‘ตอนนี้คุณก็จะมีเวลาอ่านมันแล้ว’ ”

ในแปดข้อแรกของปัญญาจารย์บทที่ 3 กล่าวถึงวาระตามธรรมชาติของกิจกรรมชีวิตกับทางเลือกที่ไร้กฎเกณฑ์ ไม่ว่าเราจะอยู่ในช่วงชีวิตใด มักเป็นเรื่องยากที่จะหาเวลาทำทุกอย่างที่อยากทำ และที่จะตัดสินใจอย่างฉลาดในเรื่องการบริหารเวลาของเรา การวางแผนจะช่วยได้มาก (สดด.90:12)

เวลาที่ใช้กับพระเจ้าในแต่ละวันเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรกสำหรับสุขภาพฝ่ายวิญญาณ การทำงานให้เกิดผลนั้นเป็นที่น่าพอใจต่อวิญญาณของเรา (ปญจ.3:13) การรับใช้พระเจ้าและช่วยเหลือผู้อื่นนั่นเป็นสิ่งสำคัญเพื่อจะบรรลุพระประสงค์ของพระเจ้าสำหรับเรา (อฟ.2:10) และเวลาของการพักผ่อนหรือยามที่ว่างจากงานนั้นไม่สูญเปล่าแต่ทำให้ร่างกายและจิตวิญญาณสดชื่น

แน่นอนว่าเป็นเรื่องง่ายที่เราจะจดจ่ออยู่กับปัจจุบันมากเกินไป โดยการหาเวลาเพื่อทำสิ่งที่มีความหมายที่สุดสำหรับเรา แต่ปัญญาจารย์ 3:11 กล่าวว่าพระเจ้าทรง “บรรจุนิรันดร์กาล” ไว้ในใจเรา เพื่อเตือนเราที่จะให้ความสำคัญลำดับแรกกับสิ่งที่เป็นนิรันดร์ การทำเช่นนั้นจะทำให้เราได้พบกับสิ่งที่มีความสำคัญที่สุด นั่นคือมุมมองแห่งนิรันดร์กาลของพระเจ้าที่มีมา “ตั้งแต่เดิมจนกาลสุดปลาย”

หูดและตำหนิทั้งหมด

โอลิเวอร์ ครอมเวลล์ หรือที่รู้จักกันในนาม “ผู้พิทักษ์แห่งอังกฤษ” เป็นผู้บัญชาการทหารในศตวรรษที่ 17 เป็นเรื่องปกติที่บุคคลสำคัญในสมัยนั้นจะมีภาพเหมือนของตัวเอง และไม่ใช่เรื่องแปลกที่ศิลปินจะพยายามหลีกเลี่ยงการวาดภาพใบหน้าของบุคคลในมุมที่ดูไม่ดี แต่ครอมเวลล์ไม่ต้องการภาพที่วาดเพื่อเอาใจเขา เขาเตือนศิลปินว่า “คุณต้องวาดผมอย่างที่ผมเป็น คือทั้งหูดและตำหนิทั้งหมด มิฉะนั้นผมจะไม่จ่ายเงินให้คุณ”

เห็นได้ชัดว่าศิลปินปฏิบัติตาม ภาพที่ออกมาแสดงให้เห็นหูดที่เด่นชัดสองสามเม็ดบนใบหน้าของครอมเวลล์ ซึ่งถ้าเป็นในยุคนี้จะถูกลบหรือทำให้เรียบเนียนก่อนจะนำไปโพสต์บนสื่อสังคมออนไลน์

คำพูดที่ว่า “หูดและตำหนิทั้งหมด” มีความหมายว่าผู้คนควรได้รับการยอมรับอย่างที่พวกเขาเป็น พร้อมด้วยความผิดพลาด ทัศนคติ และปัญหาที่น่ารำคาญทั้งหมดของพวกเขา สำหรับบางคนเรารู้สึกว่านั่นเป็นเรื่องยากเกินไป แต่เมื่อเราพินิจพิจารณาตัวเองอย่างถี่ถ้วน เราอาจพบนิสัยที่ไม่น่ารักบางอย่างในตัวของเราเองก็เป็นได้

เรารู้สึกขอบคุณพระเจ้าที่ทรงให้อภัย “หูด” หรือข้อเสียของเรา และในโคโลสีบทที่ 3 สอนเราให้ส่งต่อพระคุณไปยังผู้อื่น อัครทูตเปาโลหนุนใจให้เราอดทน มีใจเมตตา และมีความเห็นอกเห็นใจมากขึ้น แม้กับคนที่ไม่น่ารัก ท่านเรียกร้องให้เรามีวิญญาณแห่งการให้อภัยเหมือนกับที่พระเจ้าทรงให้อภัยเรา (ข้อ 12-13) จากแบบอย่างของพระองค์ เราได้รับการสอนให้รักผู้อื่นอย่างที่พระเจ้าทรงรักเรา ซึ่งรวมถึงหูดและตำหนิทั้งหมดด้วย

หลับอย่างผาสุก

เมื่อฟลอสเพื่อนของฉันนอนไม่หลับในยามค่ำคืน เธอครุ่นคิดถึงเนื้อเพลงนมัสการ “ข้ารักพระเยซู” เธอเรียกมันว่าบทเพลง “ยามดึก” เพราะเพลงนี้ช่วยให้เธอจดจำพระสัญญาของพระเจ้าและเหตุผลมากมายที่ทำให้เธอรักพระองค์

การนอนหลับเป็นสิ่งจำเป็นแต่บางครั้งก็เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่ทำได้ยาก บางครั้งเราอาจสัมผัสได้ถึงเสียงของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ทรงนำให้เราคิดถึงบาปที่ยังไม่ได้สารภาพ หรือเราเริ่มที่จะกังวลเกี่ยวกับงาน ความสัมพันธ์ การเงิน สุขภาพ หรือลูกๆของเรา ไม่นานภาพของอนาคตที่น่ากลัวก็วิ่งวนอยู่ในสมองของเรา เราคิดว่าเราเผลอหลับไปพักหนึ่ง แต่เมื่อมองไปที่นาฬิกาก็พบว่าเวลาเพิ่งผ่านไปไม่กี่นาทีจากที่ดูครั้งก่อน

ในสุภาษิต 3:19-24 กษัตริย์ซาโลมอนแนะนำว่าเราจะรับประโยชน์จากการนอนหลับได้ก็ต่อเมื่อเรายอมรับปัญญา ความเข้าใจ และความรู้จากพระเจ้า อันที่จริงพระองค์อ้างว่า “ทั้งสองจะเป็นชีวิตแก่เจ้า...ถ้าเจ้านั่ง เจ้าจะไม่กลัว เมื่อเจ้านอน ก็จะหลับไปอย่างผาสุกสดชื่น” (ข้อ 22, 24)

บางทีเราทุกคนก็อาจต้องการบทเพลง “ยามดึก” คำอธิษฐาน หรือข้อพระคัมภีร์ ที่กระซิบแผ่วเบาเพื่อช่วยเราเปลี่ยนความคิดอันวุ่นวายให้เป็นจิตใจที่จดจ่อที่พระเจ้าและพระลักษณะของพระองค์ สมองที่ปลอดโปร่งและหัวใจที่เต็มด้วยการขอบพระคุณในความรักและความสัตย์ซื่อของพระเจ้าจะทำให้เราหลับได้อย่างผาสุก

รักการเรียนรู้

เมื่อชายคนหนึ่งถูกถามถึงความเป็นมาของการมาเป็นนักข่าว เขาเล่าเรื่องความทุ่มเทของแม่ต่อการศึกษาของเขาว่า ในแต่ละวันที่แม่เดินทางด้วยรถใต้ดิน แม่จะเก็บรวบรวมหนังสือพิมพ์ที่ถูกทิ้งไว้ตามที่นั่งแล้วเอามาให้เขา แม้เขาจะชอบอ่านเรื่องกีฬาเป็นพิเศษ แต่หนังสือพิมพ์เหล่านั้นทำให้เขาได้ความรู้เกี่ยวกับโลก ซึ่งในที่สุดได้เปิดใจของเขาสู่ความสนใจที่หลากหลาย

เด็กๆมีความอยากรู้อยากเห็นตามธรรมชาติและรักการเรียนรู้ ดังนั้น การสอนเรื่องพระวจนะให้ตั้งแต่พวกเขาอายุยังน้อยจึงมีคุณค่าอย่างยิ่ง พวกเขาจะรู้สึกทึ่งในพระสัญญาที่สุดแสนพิเศษของพระเจ้า และเรื่องราวน่าตื่นเต้นของวีรบุรุษในพระคัมภีร์ เมื่อความรู้ของพวกเขาหยั่งรากลึก พวกเขาจะได้เริ่มเข้าใจในผลของบาป ความจำเป็นของการกลับใจใหม่ และความปีติยินดีที่พบในการวางใจพระเจ้า ตัวอย่างเช่น บทแรกของหนังสือสุภาษิตเป็นบทที่ดีมากๆที่พูดถึงประโยชน์ของปัญญา (สภษ.1:1-7) ขุมทรัพย์แห่งปัญญาที่พบที่นี่ฉายแสงแห่งความเข้าใจถึงสถานการณ์จริงของชีวิต

การพัฒนาความรักในการเรียนรู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องความจริงฝ่ายวิญญาณจะช่วยเราให้เติบโตในความเชื่อ ผู้ที่ดำเนินในความเชื่อมาเป็นเวลาหลายสิบปีสามารถเสาะแสวงหาความรู้เรื่องพระเจ้าได้ตลอดชีวิต สุภาษิต 1:5 สอนว่า “ปราชญ์จะได้ยินและเพิ่มพูนการเรียนรู้” พระเจ้าจะไม่ทรงหยุดสอนเรา ถ้าเรายอมเปิดใจและความคิดต่อการทรงนำและคำสอนของพระองค์

การอธิบายพระคัมภีร์

แผ่นกระเบื้องตกแต่งสีน้ำเงินและสีขาวที่มักพบเห็นได้ตามบ้านของชาวดัตช์นั้นมีต้นกำเนิดมาจากเมืองเดลฟ์ พวกเขามักตกแต่งเป็นภาพวิวของเนเธอร์แลนด์ ทั้งทิวทัศน์ที่สวยงาม กังหันลมที่เห็นทั่วไปและผู้คนที่กำลังทำงานและสนุกสนาน

ในศตวรรษที่ 19 ชาร์ลส์ ดิกเกนส์เขียนไว้ในหนังสือมหัศจรรย์วันคริสต์มาส ถึงการที่แผ่นกระเบื้องถูกใช้เพื่ออธิบายพระคัมภีร์ เขาบรรยายถึงเตาผิงเก่าที่สร้างโดยคนดัตช์ ปูด้วยกระเบื้องเมืองเดลฟ์ที่ดูแปลกตาว่า “มีภาพคาอินและ
อาเบล พระธิดาของฟาโรห์ ราชินีแห่งชีบา...และอัครทูตกำลังออกทะเล” หลายบ้านใช้กระเบื้องเหล่านี้เป็นเครื่องมือในการสอนเมื่อครอบครัวมารวมตัวกันหน้าเตาผิงอันอบอุ่นและแบ่งปันเรื่องราวในพระคัมภีร์ พวกเขาเรียนรู้ถึงพระลักษณะของพระเจ้า ทั้งความยุติธรรมและพระเมตตากรุณาของพระองค์

ความจริงแห่งพระคัมภีร์ยังคงนำมาปรับใช้ได้ในปัจจุบัน สดุดี 78 หนุนใจให้เราสอน “คำลับลึกของโบราณกาล ถึงสิ่งที่เราทั้งหลายได้ยินได้ทราบ ที่บรรพบุรุษของเราได้บอกเรา” (ข้อ 2-3) และบอกเราให้ “บอกแก่ชาติพันธุ์ที่กำลังเกิดมา ถึงพระราชกิจอันควรสรรเสริญของพระเจ้า และฤทธานุภาพของพระองค์และการอัศจรรย์ซึ่งพระองค์ได้ทรงกระทำ” และพวกเขา “จะลุกขึ้นบอกลูกหลานของเขา” (ข้อ 4, 6)

ด้วยความช่วยเหลือจากพระเจ้า เราจะพบวิธีที่สร้างสรรค์และมีประสิทธิภาพในการอธิบายความจริงแห่งพระคัมภีร์ต่อคนในแต่ละรุ่น เมื่อเรามุ่งมั่นในการถวายพระเกียรติสูงสุดและคำสรรเสริญตามที่พระเจ้าทรงสมควรได้รับต่อพระองค์

ในยามขัดสน

เมื่อกิจการเล็กๆหลายแห่งในรัฐเทนเนสซีต้องถูกปิดลงเพื่อช่วยลดการระบาดของโควิด 19 เจ้าของร้านต่างเป็นกังวลว่าจะดูแลลูกจ้างของตนอย่างไร จะหาเงินจากไหนมาจ่ายค่าเช่า และจะรอดพ้นช่วงวิกฤตนี้ได้อย่างไร เพื่อช่วยลดความกังวลเหล่านั้น ศิษยาภิบาลของคริสตจักรแห่งหนึ่งใกล้ๆเมืองแนชวิลล์ได้ริเริ่มกองทุนเงินสดเพื่อช่วยเหลือเจ้าของกิจการที่กำลังดิ้นรนต่อสู้

“พวกเรารู้สึกทนไม่ได้ที่จะเก็บเงินสะสมสำหรับยามจำเป็นไว้เฉยๆ ขณะที่คนอื่นๆกำลังเผชิญกับความขัดสน” ศิษยาภิบาลอธิบายขณะที่เขาหนุนใจคริสต-จักรอื่นในพื้นที่ให้เข้าร่วมโครงการนี้

เงินสะสมสำหรับยามจำเป็นเป็นเงินที่แยกเก็บไว้เพื่อใช้เมื่อรายได้ประจำลดลงในขณะที่กิจการงานตามปกติยังคงต้องขับเคลื่อนไป เป็นเรื่องธรรมดาที่เราจะห่วงตัวเราเองก่อน แต่พระคัมภีร์หนุนใจเราให้มองข้ามความจำเป็นของตัวเอง และหาหนทางที่จะรับใช้ผู้อื่น และฝึกที่จะให้ด้วยใจกว้างขวาง พระธรรมสุภาษิต 11 เตือนเราว่า “บางคนยิ่งจำหน่ายยิ่งมั่งคั่ง” “บุคคลที่ใจกว้างขวางย่อมได้รับความมั่งคั่ง” และ “บุคคลที่รดน้ำ เขาเองจะได้รับการรดน้ำ” (ข้อ 24-25)

ในวันนี้ดวงอาทิตย์สาดแสงเจิดจ้าเป็นพิเศษเหนือชีวิตคุณหรือไม่ จงมองดูรอบๆว่ามีใครกำลังเผชิญกับพายุใหญ่ในชีวิต พระพรที่พระเจ้าประทานแก่คุณจะทวีคูณเมื่อคุณยินดีที่จะแบ่งปันกับผู้อื่น การให้ด้วยใจกว้างขวางเป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการมอบความหวังแก่ผู้อื่น และเพื่อย้ำเตือนกับผู้ที่เจ็บปวดว่าพระเจ้าทรงรักพวกเขา

ผุพังจากภายใน

ตอนที่ฉันเป็นวัยรุ่น แม่ได้วาดภาพไว้บนผนังห้องนั่งเล่นในบ้านของเราซึ่งยังคงอยู่ที่นั่นต่อมาอีกหลายปี ภาพนั้นเป็นภาพวิหารกรีกโบราณที่ปรักหักพัง มีเสาหินสีขาวกองอยู่ข้างๆกับแท่นน้ำพุและรูปปั้นที่แตกหัก ขณะมองภาพสถาปัตยกรรมกรีกในยุคเฮลเลนิสติกที่ครั้งหนึ่งเคยงดงาม ฉันพยายามจินตนาการถึงสิ่งที่ทำลายวิหารนี้ ฉันสงสัยใคร่รู้โดยเฉพาะเมื่อได้ศึกษาถึงโศกนาฏกรรมของอารยธรรมที่เคยยิ่งใหญ่และรุ่งเรือง แต่เสื่อมถอยและผุพังจากภายใน

ทุกวันนี้ความบาปชั่วอันเลวทรามและการทำลายล้างอย่างป่าเถื่อนที่เราเห็นรอบตัวเป็นสิ่งที่น่าหนักใจ เป็นธรรมชาติของเราที่พยายามจะอธิบายความเสียหายนี้โดยโยนความผิดไปที่คนหรือชนชาติที่ปฏิเสธพระเจ้า แต่เราควรจะตรวจสอบภายในใจของเราด้วยหรือไม่ พระคัมภีร์เตือนให้ระวังว่าเราจะเป็นคนหน้าซื่อใจคด เมื่อเราเรียกให้ผู้อื่นหันออกจากความบาปของเขาโดยที่ไม่ได้สำรวจลึกเข้าไปในจิตใจของเราเอง (มธ.7:1-5)

พระธรรมสดุดี 32 ท้าทายเราให้มองดูและสารภาพความบาปของเรา เราจะสัมผัสถึงเสรีภาพจากความรู้สึกผิด และความชื่นชมยินดีจากการกลับใจใหม่อย่างแท้จริงได้ ก็ต่อเมื่อเรายอมรับและสารภาพบาปของเราเท่านั้น (ข้อ 1-5) และในขณะที่เราชื่นชมยินดีที่ได้รู้ว่าพระเจ้าทรงโปรดประทานการอภัยโทษที่สมบูรณ์แก่เรา เราก็จะสามารถแบ่งปันความหวังนั้นให้แก่ผู้ที่กำลังต่อสู้กับความบาปได้

บุรุษแห่งการอธิษฐาน

ครอบครัวของฉันจดจำคุณตาเดิร์กกิ้งว่าเป็นบุรุษแห่งความเชื่อที่เข้มแข็งและการอธิษฐาน แต่ไม่ได้เป็นเช่นนั้นเสมอ ป้าของฉันนึกถึงครั้งแรกที่พ่อของเธอประกาศกับครอบครัวว่า “เราจะเริ่มขอบคุณพระเจ้าก่อนรับประทานอาหาร” การอธิษฐานครั้งแรกของเขาท่านไม่คล่องแคล่วนัก แต่คุณตายังคงฝึกอธิษฐานมาตลอดห้าสิบปีต่อมาโดยอธิษฐานบ่อยๆในแต่ละวัน เมื่อท่านเสียชีวิต สามีของฉันให้ต้นไม้ที่ชื่อ “มือแห่งการอธิษฐาน” กับคุณยายและบอกว่า “คุณตาเป็นบุรุษแห่งการอธิษฐาน” การตัดสินใจของท่านในการติดตามและพูดกับพระเจ้าทุกวันเปลี่ยนท่านเป็นผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์ของพระคริสต์

พระคัมภีร์มีเรื่องการอธิษฐานมากมาย ในมัทธิว 6:9-13 พระเยซูทรงสอนรูปแบบการอธิษฐานให้กับผู้ติดตามพระองค์ สอนให้พวกเขาเข้าหาพระเจ้าด้วยการสรรเสริญพระองค์อย่างจริงใจ เมื่อเราร้องทูลต่อพระเจ้า เราก็ได้วางใจให้พระองค์จัดเตรียม “อาหารประจำวัน”​(ข้อ 11) เมื่อเราสารภาพบาปของเรา เราก็ได้ทูลขอการอภัยและขอให้ช่วยเราพ้นจากการทดลอง (ข้อ 12-13)

แต่เราไม่ได้ถูกจำกัดให้อธิษฐานได้แค่ “คำอธิษฐานของพระเยซู” พระเจ้าทรงต้องการให้เราอธิษฐานด้วย “การอธิษฐานวิงวอนทุกอย่าง” ใน “ทุกเวลา” (อฟ.6:18) การอธิษฐานสำคัญต่อการเติบโตฝ่ายจิตวิญญาณ และเป็นโอกาสให้เราได้สนทนาอย่างสม่ำเสมอกับพระองค์ทุกวัน (1 ธส.5:17-18)

เมื่อเราเข้าหาพระเจ้าด้วยใจถ่อมที่ปรารถนาจะพูดคุยกับพระองค์ ก็ขอให้พระองค์ทรงช่วยเราให้รู้จักและรักพระองค์ยิ่งขึ้น

พระเจ้าทรงรู้เรื่องราวของคุณ

ขณะที่ฉันขับรถกลับบ้านหลังรับประทานอาหารเที่ยงกับเพื่อนสนิท ฉันออกเสียงขอบคุณพระเจ้าสำหรับเธอ เธอรู้จักและรักฉันแม้จะมีหลายสิ่งที่ฉันเองยังไม่ชอบเกี่ยวกับตัวเองเลย เธอเป็นหนึ่งในแวดวงคนสนิทไม่กี่คนที่ยอมรับฉันอย่างที่ฉันเป็น ทั้งความประหลาด นิสัยและข้อผิดพลาดต่างๆ กระนั้นก็ยังมีเรื่องราวบางส่วนที่ฉันไม่ได้เล่าให้เธอหรือคนอื่นที่ฉันรักฟัง ทั้งเรื่องราวที่ฉันไม่ใช่นางเอกของเรื่อง เรื่องที่ฉันด่วนตัดสินหรือใจร้ายหรือขาดความรัก

แต่พระเจ้าทรงทราบเรื่องของฉันทั้งสิ้น พระองค์คือผู้เดียวที่ฉันพูดคุยได้อย่างอิสระแม้ฉันจะลังเลไม่กล้าพูดกับคนอื่น

ถ้อยคำที่คุ้นเคยในสดุดี 139 บรรยายถึงความสนิทสนมที่เราจะชื่นชมได้ร่วมกับองค์จอมกษัตรา พระองค์ทรงรู้จักเราในทุกด้าน! (ข้อ 1) “ทรง​คุ้นเคย​กับ​ทาง​ทั้งสิ้น​” ของเรา (ข้อ 3) พระองค์เชื้อเชิญให้เรานำความสับสน ความคิดกังวลและการต่อสู้กับการทดลองเข้ามาหาพระองค์ เมื่อเราเต็มใจยอมจำนนต่อพระองค์โดยสิ้นเชิง พระองค์จะทรงยื่นพระหัตถ์ออกมาเพื่อรื้อฟื้นและเขียนเรื่องราวที่ทำให้เราเศร้าเพราะเราเหินห่างจากพระองค์นั้นขึ้นใหม่

พระเจ้าทรงรู้จักเราดียิ่งกว่าใครทั้งสิ้น และกระนั้น...พระองค์ยังทรงรักเรา! เมื่อเรายอมจำนนต่อพระองค์ ในแต่ละวันและแสวงหาที่จะรู้จักพระองค์มากขึ้น พระองค์สามารถเปลี่ยนเรื่องราวของเราเพื่อพระเกียรติของพระองค์ได้ พระองค์คือผู้ประพันธ์ที่ยังคงเขียนเรื่องราวอยู่เสมอ

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา